โปรแกรมคุ้มครองระบบหายใจ
( Respiratory protection program )
ในสภาพแวดล้อมการทำงานหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง หรือแม้แต่ในสถานพยาบาล พนักงานมักต้องเผชิญกับอันตรายที่มองไม่เห็นแต่ส่งผลร้ายแรงต่อระบบทางเดินหายใจ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง ก๊าซ ไอระเหย หรือสารเคมีที่เป็นพิษ การสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม สามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น โรคปอด โรคระบบทางเดินหายใจ ไปจนถึงอันตรายเฉียบพลันถึงแก่ชีวิต การป้องกันระบบทางเดินหายใจของพนักงานจึงไม่ใช่แค่ข้อกำหนดทางกฎหมาย แต่เป็นรากฐานสำคัญของการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและยั่งยืน
Respiratory Protection Program (RPP) จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่ครอบคลุมและเป็นระบบ ในการปกป้องสุขภาพและชีวิตของพนักงานจากอันตรายทางระบบทางเดินหายใจ โปรแกรมนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การจัดหาอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Respirator) เท่านั้น แต่ยังรวมถึงกระบวนการ ตั้งแต่การประเมินความเสี่ยง การคัดกรองสุขภาพของพนักงาน การเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม การฝึกอบรมการใช้งาน ไปจนถึงการบำรุงรักษาและการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง การมี RPP ที่แข็งแกร่งและได้รับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าพนักงานทุกคนที่ต้องทำงานในพื้นที่เสี่ยง ได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ ทำให้พวกเขาสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ห่างไกลจากความเสี่ยงด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ชนิดของ Respirator: สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดหลัก ดังนี้:
Tight-fitting (หน้ากากแนบสนิท)
Half Masks: หน้ากากที่คลุมตั้งแต่จมูกถึงปาก
Full Facepieces: หน้ากากที่คลุมทั้งใบหน้า ตั้งแต่ไรผมถึงคาง
Loose-fitting (หน้ากากหลวม)
Air-purifying (เครื่องช่วยหายใจชนิดกรองอากาศ): อากาศจากภายนอกจะไหลผ่านตัวกรองเพื่อกำจัดสารอันตรายให้เหลืออยู่ในระดับที่ปลอดภัย
Negative Pressure System: อากาศจะถูกดูดผ่านตัวกรองโดยการหายใจเข้าของผู้สวมใส่
Positive Pressure System: มีระบบดูดอากาศช่วยเพิ่มความสบายในการสวมใส่
Atmosphere-supplying (เครื่องช่วยหายใจชนิดส่งอากาศ): ผู้สวมใส่ได้รับอากาศสำหรับหายใจจากแหล่งกำเนิดภายนอก ไม่ใช่อากาศจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ อุปกรณ์ชนิดนี้มักประกอบด้วยหน้ากาก ท่อหายใจ ตัวควบคุมอัตราการไหลของอากาศ สายอากาศ และแหล่งเก็บอากาศ
Supplied-Air Respirators (SARs)
Self-Contained Breathing Apparatus (SCBA)
ประเภทของ Fit Test: Fit Test แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:
Qualitative Fit Testing (การทดสอบเชิงคุณภาพ)
เป็นการทดสอบที่ให้ผล "ผ่าน" หรือ "ไม่ผ่าน" โดยให้ผู้สวมใส่ประเมินการรั่วของสารด้วยตนเอง
เหมาะสำหรับหน้ากากครึ่งหน้าและหน้ากากกรอง ไม่เหมาะกับหน้ากากเต็มหน้า
มี 3 วิธี ได้แก่:
ทดสอบด้วยสารให้รสชาติ (ขมหรือหวาน)
ทดสอบด้วยสารให้กลิ่น
ทดสอบการระคายเคืองด้วยควัน
Quantitative Fit Testing (การทดสอบเชิงปริมาณ)
เป็นการทดสอบที่ให้ค่าการวัดความกระชับที่เรียกว่า Fit Factor
ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ
เหมาะสำหรับหน้ากากทุกชนิด ค่า Fit Factor จะขึ้นอยู่กับชนิดของหน้ากากที่ทดสอบ
1.การระบุตัวตน: หัวหน้างานจะระบุรายชื่อพนักงานที่จำเป็นต้องเข้าร่วมโปรแกรม RPP ตามผลการประเมินอันตรายในพื้นที่ปฏิบัติงาน
2.การแจ้งเข้ารับบริการ: พนักงานจะได้รับการแจ้งให้เข้ารับการประเมินทางการแพทย์และ Fit Test ตามกำหนด
3.การซักประวัติเบื้องต้นและการประเมินสิ่งคุกคาม:
ซักประวัติงานเบื้องต้น: พนักงานจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะงานที่ทำ ระยะเวลาการทำงาน สภาพแวดล้อม และภาระงานที่ต้องใช้แรงกาย
ระบุสิ่งคุกคามและประเมินความเสี่ยง: มีการซักถามหรือตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับ สิ่งคุกคาม (Hazard) ที่พนักงานต้องเผชิญในพื้นที่ทำงาน เช่น ประเภทของฝุ่นละออง (ขนาด, ชนิด), ก๊าซพิษ, ไอระเหย, สารเคมี, หรือภาวะขาดออกซิเจน รวมถึงระดับความเข้มข้นของสิ่งคุกคามนั้น
การเลือกหน้ากากที่เหมาะสม: จากข้อมูลสิ่งคุกคามและลักษณะงานที่ได้ จะมีการพิจารณา เลือกประเภทของ Respirator ที่เหมาะสม ในเบื้องต้น เช่น ควรใช้หน้ากากชนิดกรองอากาศ (Air-purifying) หรือหน้ากากแบบจ่ายอากาศ (Atmosphere-supplying) และควรเป็นแบบครึ่งหน้า เต็มหน้า หรือมีระบบจ่ายอากาศ โดยเลือกหน้ากากที่สวมใส่ได้กระชับที่สุด และหน้ากากแต่ละแบบมีขนาดและรูปทรงต่างกั
ข้อจำกัดในการทดสอบ:
ห้ามมีขนบนใบหน้า (เช่น เครา หนวด หรือจอน) บริเวณที่หน้ากากสัมผัสกับผิวหนัง
เครื่องแต่งกายใดๆ ที่ขัดขวางความกระชับของหน้ากากจะต้องถูกปรับเปลี่ยนหรือถอดออก
4.การประเมินทางการแพทย์ (Medical Evaluation):
พนักงานจะต้องกรอกแบบสอบถามทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ Respirator
ในบางกรณี อาจมีการซักประวัติสุขภาพเพิ่มเติม หรือการตรวจร่างกายโดยบุคลากรทางการแพทย์ หากจำเป็น
ผลการประเมินจะระบุว่าพนักงานมีความพร้อมทางร่างกายในการใช้ Respirator หรือไม่
5.การตรวจสอบความกระชับเบื้องต้น (Fit Check) ก่อนทำ Fit Test:
ก่อนเริ่มการทดสอบ Fit Test ผู้เชี่ยวชาญจะทำการตรวจสอบ Fit Check ซึ่งเป็นการประเมินเบื้องต้นว่า Respirator ที่เลือกมานั้นสามารถสวมใส่ได้แนบสนิทกับใบหน้าของพนักงานหรือไม่
โดยพนักงานก่อนทำการตรวจสอบ ควรขยับศีรษะไปด้านข้างและขึ้นลงช้าๆ พร้อมหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง ดูการยุบตัวของหน้ากาก หรือการปิดทางเข้าออกของอากาศแล้วหายใจออกเบาๆ เพื่อสัมผัสลมรั่ว หากการตรวจสอบไม่ผ่าน ต้องเลือกหน้ากากใหม่และทำการทดสอบซ้ำ
ขั้นตอนนี้มีความสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่า Respirator นั้นพอดีกับโครงสร้างใบหน้าเบื้องต้น ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการ
จุดที่ต้องพิจารณาในการประเมินความสบาย:
ตำแหน่งของหน้ากากบนจมูก
มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการสวมอุปกรณ์ป้องกันดวงตาหรือไม่
มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการพูดคุยหรือไม่
ตำแหน่งของหน้ากากบนใบหน้าและแก้ม
เกณฑ์ในการตรวจสอบความกระชับของหน้ากาก:
วางคางได้ถูกต้อง
สายรัดตึงพอดี ไม่แน่นจนเกินไป
แนบสนิทบริเวณสันจมูก
หน้ากากมีขนาดที่เหมาะสมครอบคลุมระยะห่างจากจมูกถึงคาง
หน้ากากไม่เลื่อนหลุดง่าย
พนักงานใช้กระจกส่องเพื่อประเมินความกระชับและตำแหน่งของหน้ากากด้วยตนเอง
6.การทดสอบความกระชับ (Fit Test):
เมื่อผ่านการตรวจสอบ Fit Check แล้ว พนักงานจะเข้ารับการ Fit Test เพื่อหา Respirator ที่เหมาะสมกับรูปหน้าและป้องกันการรั่วซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะใช้ Respirator ที่ถูกเลือกไว้ในขั้นตอนที่ 3
การทดสอบนี้จะดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกอบรม และให้ผลลัพธ์เชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ
คำอธิบายขั้นตอน: ก่อนเริ่มการทดสอบ จะต้องอธิบายขั้นตอนทั้งหมดให้ผู้ถูกทดสอบเข้าใจ
การทดสอบความไวต่อรสชาติ (Taste Threshold Screening):
ผู้ถูกทดสอบจะสวมครอบศีรษะ (Hood) คล้ายอุโมงค์ โดยไม่ใส่หน้ากากกรองอากาศ
เครื่องพ่นละออง (Nebulizer) จะพ่นสารละลาย Saccharin เข้าไปในครอบศีรษะ
ผู้ถูกทดสอบจะหายใจทางปากที่อ้าเล็กน้อยและยื่นลิ้นออกมา และแจ้งเมื่อรับรู้รสหวาน
จะทำการพ่นสารละลายเป็นชุด (ชุดละ 10 ครั้ง) จนกว่าจะรับรสได้ (สูงสุด 30 ครั้ง) หากเกิน 30 ครั้งแล้วยังไม่รับรสได้ แสดงว่าไม่สามารถใช้ Saccharin ในการทดสอบได้
ขั้นตอนการทดสอบความกระชับ (Fit Test Procedure):
ผู้ถูกทดสอบห้ามรับประทานอาหาร ดื่มเครื่องดื่ม (ยกเว้นน้ำเปล่า) สูบบุหรี่ หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง เป็นเวลา 15 นาทีก่อนการทดสอบ
ผู้ถูกทดสอบจะสวมหน้ากากกรองอากาศที่เลือกไว้พร้อมกับครอบศีรษะ
เครื่องพ่นละอองอีกตัว (แยกจากตัวที่ใช้ทดสอบความไว) จะพ่นสารละลาย Saccharin เข้าไปในครอบศีรษะ โดยปริมาณการพ่นเริ่มต้นจะอ้างอิงจากจำนวนครั้งที่รับรสได้ในการทดสอบความไว
ผู้ถูกทดสอบจะทำท่าทางการทดสอบ
ทุกๆ 30 วินาที จะมีการเติมละอองสารเพิ่มครึ่งหนึ่งของปริมาณเริ่มต้น
หากผู้ถูกทดสอบไม่รับรู้รสหวานตลอดการทดสอบ ถือว่า "ผ่าน"
หากรับรู้รสหวาน แสดงว่าหน้ากาก "ไม่กระชับ" และต้องลองหน้ากากอื่น พร้อมทำขั้นตอนทั้งหมดซ้ำ
ต้องตรวจสอบว่าเครื่องพ่นละอองไม่อุดตัน
โปรโตคอล Bitrex® (Denatonium Benzoate) Solution Aerosol (โปรโตคอลการทดสอบโดยใช้ละอองสาร Bitrex)
โปรโตคอล Bitrex จะใช้ขั้นตอนเดียวกับ Saccharin แต่เปลี่ยนสารทดสอบเป็น Bitrex ซึ่งมีรสขม
การทดสอบความไวต่อรสชาติ (Taste Threshold Screening): คล้ายกับ Saccharin แต่ผู้ถูกทดสอบจะแจ้งเมื่อรับรู้รสขม
ขั้นตอนการทดสอบความกระชับ (Fit Test Procedure): คล้ายกับ Saccharin แต่จะใช้สารละลาย Bitrex และผู้ถูกทดสอบจะแจ้งเมื่อรับรู้รสขม
7.การฝึกอบรม (Training):
พนักงานที่ผ่านการประเมินทางการแพทย์และ Fit Test จะต้องเข้ารับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้งาน การดูแลรักษา การจัดเก็บ และข้อควรระวังต่างๆ ในการใช้ Respirator อย่างถูกต้อง
8.การออกใบรับรอง/การอนุมัติ: พนักงานที่ผ่านทุกขั้นตอนจะได้รับการอนุมัติให้สามารถใช้งาน Respirator ในพื้นที่ปฏิบัติงานได้